อารัมภกถา
Prologue
 บันทึกบางม่วง ส่วนที่ 1
 Part 1
 บันทึกบางม่วง ส่วนที่ 2
 Part 2
 บันทึกบางม่วง ส่วนที่ 3
 Part 3

 รวมเล่ม (1.49MB) 








สิ

บนาฬิกาเศษของวันอาทิตย์ที่ 26 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 บนหาดทรายเนื้อละเอียดสีขาวนวลสะอาดตาของเกาะพีพีที่ทอดตัวยาวลงไปในท้องทะเลสีเขียวมรกตสดใส มองเห็นฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายเริงรื่นกับเงาคลื่นใต้น้ำที่กำลังทอแสงระยิบระยับราวกับมีใครเอาเพชรนิลจินดาไปโปรยปรายทิ้งไว้เบื้องล่าง ด้านหลังคือท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่ถูกประดับด้วยปุยเมฆสีขาวขนาดน้อยใหญ่ล่องลอยเอื่อยๆ ตามกระแสลมเย็นของชายฝั่งทะเลอันดามัน นักท่องเที่ยวชายหญิงทั้งไทยและต่างประเทศในชุดว่ายน้ำหลากสีลวดลายฉูดฉาดตัดกับทิวทัศน์กำลังสนุกสนานอยู่กับคลื่นลม บ้างดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำทะเล บ้างก็จับคู่นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิง บางคนที่นิยมการอาบแดดก็หลับใหลพริ้มตาอยู่บนผืนผ้าขนาดใหญ่สีแดงสีเขียว เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังโหวกเหวกสลับกับเสียงคลื่นสาดใส่เข้ากระทบฝั่ง สร้างบรรยากาศที่สุดแสนอภิรมย์









ที่ท่าเรือไม่ไกลนัก นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่เพิ่งเดินทางมาใหม่กำลังทยอยกันเดินลงมาจากเรือหอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรัง คนที่กำลังจะเดินทางกลับยืนรออยู่ที่ชายฝั่งอย่างใจเย็น บางคนยืนจิบน้ำมะพร้าวจากลูกที่ถูกเปิดฝาออกและประดับด้วยดอกกล้วยไม้เล็กๆ สีบานเย็นดูเข้าบรรยากาศ

"เห้ย!!! นั่นอะไรวะ?"

เสียงใครสักคนตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงตระหนกตกใจ ทำลายบรรยากาศความสุขสงบของชายฝั่งพีพี

"ทำไมน้ำทะเลมันแห้งลงไปแบบนั้นหละ???"

"หึยย ... น้ำลงเหรอ?"

"เหมือนทะเลมีรูเลย"

เพียงชั่วพริบตา ชายหาดของเกาะพีพีทั้งเกาะที่มีน้ำทะเลสีเขียวมรกตก็ดูเหมือนกำลังจะเหือดแห้ง น้ำลดระดับลงจนมองเห็นหาดทรายยื่นไกลออกไปในบริเวณที่เคยเป็นทะเลมากกว่าเดิมร่วมร้อยเมตร ดูเหมือนแผ่นดินจะมีรอยแยกสูบเอาน้ำทะเลออกไปจริงๆ ชายหนุ่ม 2-3 คนคว้ากล้องดิจิตอลติดมือวิ่งตามน้ำที่กำลังลดระดับออกไป หมายมั่นที่จะเก็บภาพรอยแตกของแผ่นดินเพื่อที่จะนำไปอวดเพื่อนฝูงถึงปรากฏการณ์มหัศจรรย์ริมฝั่งอันดามัน ในขณะที่ผู้คนหลายคนทยอยกันเดินตามไป บางคนที่ยังเคอะเขินอยู่ก็ยืนชะเง้อมองวิพากย์วิจารณ์สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไปตามภูมิความรู้ที่มี

"ตอนนี้เป็นเวลาน้ำลงเหรอ?"

นักท่องเที่ยวคนหนึ่งถามคนขับเรือที่กำลังงุนงงกับสภาพของเรือตัวเองที่จมอยู่กับกองทรายริมชายหาด

"ไม่ใช่สิครับ"

คนขับเรือผิวคล้ำกร้านแดดในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กางเกงผ้าสีดำตอบด้วยสำเนียงท้องถิ่นพร้อมกับปาดเหงือที่ผุดออกมาบนใบหน้า แววตาฉงนพอกัน

"ผมอยู่ที่นี่มาสามสิบปีแล้ว ไม่เคยเป็นแบบนี้"

สิ้นเสียงตอบของคนขับเรือ เสียงอื้ออึงก็ดังเลื่อนลั่นขึ้นที่ชายหาดไกลสุดลูกตา มองเห็นตากล้องสมัครเล่นที่วิ่งตามน้ำลดไปเมื่อสักครู่กำลังวิ่งย้อนศรกลับขึ้นมา ท่าทางตกอกตกใจ เสียงน้ำเสียงคลื่นในทะเลกำลังตามเข้ามาพอกัน ความอลหม่านกำลังจะเกิดขึ้น

"หนีเร็ววววววววว"

เสียงตะโกนร้องดังแว่วมาแต่ไกล ทำให้ผู้คนบนชายฝั่งแทบทุกคนที่กำลังสนใจอยู่กับระดับน้ำที่ลดหายไปต้องยิ่งเพิ่มความสนใจไปที่ต้นเสียงที่กำลังวิ่งกลับเข้ามาสุดกำลังฝีเท้า

"วิ่งงงงงงงงง วิ่งงงงง .... !!!"

"ฉิบหายแล้ว!"

เสียงตะโกนตอบรับยังไม่ทันสุดเสียงดี ชายฝั่งที่เหือดแห้งไปเมื่อสักครู่ก็มีน้ำถาโถมใส่เข้ามา มากมายเกินกว่าจะนับจะประมาณได้ ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ผู้คนหวีดร้อง เสียงร้องไห้ เสียงสบถด่าดังขึ้นก่อนที่ทุกคนจะพยายามกระเสือกกระสนหาทางหนีกระแสน้ำที่กำลังเชี่ยวกราก บ้าคลั่งเหมือนจงใจพุ่งเป้าหมายสังหารหมู่สู่ทุกชีวิตที่อยู่บนเกาะ

ตากล้องสมัครเล่นที่เพิ่งคว้ากล้องดิจิตอลวิ่งตามสายน้ำลงไปถูกน้ำทะเลที่วิ่งกลับเข้ามาซัดหายไปต่อหน้าต่อตา เสียงกรีดร้องของคนที่มองดูอย่างตื่นตระหนกบนฝั่งไม่สามารถทำให้เหตุการณ์อะไรดีขึ้น

 

เพียงชั่วไม่กี่อึดใจน้ำทะเลวิปโยคก็กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนชายฝั่งเละเทะระเนระนาดลอยเข้าไปกองรวมกันอยู่บนพื้นที่เกาะด้านในเป็นระยะทางกว่า 300 เมตร ระดับน้ำสูงจนเกือบจะมิดหัวฝรั่งผมทองร่างใหญ่ๆ ใครที่ร่างกายแข็งแรงก็พยายามกระเสือกกระสนปีนขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารหลังน้อยใหญ่ที่เรียงรายอยู่ตามแนวชายฝั่ง ใครที่เกาะกุมไม่ได้ก็ปลิวลอยตามกระแสน้ำไป เสียงกระจกแตก เสียงกรอบแกรบของการหักพังทลายของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ดังอึงมี่

อึดใจต่อมา หลังจากพังทลายบ้านเรือน อาคารบังกะโลชายหาดเป็นที่สำราญใจแล้ว กระแสน้ำมรณะก็ไหลย้อนกลับกวาดทุกสิ่งทุกอย่างลงสู่ทะเล สภาพพื้นที่โดยรอบพังเสียหายยับเยิน ไม่เหลือเค้าความสวยงามและบรรยากาศน่าอภิรมย์อีกต่อไป

เสียงร้องไห้และการกรีดร้องดังกระหึ่มขึ้นอย่างไม่ต้องนัดหมาย ผู้คนที่ยังหลงเหลืออยู่ มีเพียงไม่กี่คนที่ปลอดภัยโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ บางคนหัวแตก บางคนขาหัก เสื้อผ้าอาภรณ์ยับเยิน เสียงตะโกนโหวกเหวก บรรยากาศสับสนเกินกว่าจะพรรณนาได้

 

"ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย นี่มันอะไรวะ !!!"

"ร้านกู!!! .... หมดกัน"

"Jesus Christ !!! ... What da Fuck !!!"

...

...

ยังไม่ทันขาดคำ คลื่นระลอกใหม่ก็พัดกลับเข้ามาอีกครั้ง ... คราวนี้ระดับคลื่นสูงกว่าสิบเมตร! ชายหนุ่ม หญิงสาว ที่รอดตายอยู่ที่ริมฝั่งเบิกตาโพลงด้วยความกลัวสุดชีวิต ขาสั่น ปากสั่น ไม่มีเสียงร้องใดๆ หลุดรอดออกมา .... ที่ยังมีแรงวิ่งได้ก็หนีสุดแรงเกิดอีกครั้ง ที่กำลังนิ่งเฉยอยู่กับอาการตื่นตะลึงก็จมหายไปพร้อมกับคลื่นยักษ์ระลอกที่สองนั้น

เสี้ยววินาทีมรณะนั้น ไม่มีใครสักคนบนเกาะพีพีรู้ว่าคลื่นยักษ์สองลูกใหญ่ที่กำลังปลิดชีวิตและทำลายล้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เป็นเพียงการอุ่นเครื่องที่ท้องทะเลอันดามันกำลังส่งสัญญาณบอกให้เตรียมตัว เพราะอีกไม่กี่นาทีต่อมาคลื่นลูกใหญ่ที่สูงกว่าสามสิบเมตรก็พุ่งตรงเข้ามาเยือน

เพียงวูบเดียว ....

โลกทั้งโลกของผู้คนกว่าสองแสนคนก็ดับมืดลง ...